ต่างประเทศ ตลาดใหม่ สินค้าเกษตรไทย

ต่างประเทศ สินค้าเกษตรไทย ไปไม่ยาก

ต่างประเทศ เป็นตลาดใหม่สำหรับ สินค้าเกษตรของไทย เราเชื่อเรื่องนี้กันหรือเปล่า ว่าเป็นเรื่องจำเป็นมากกว่า จะเป็นทางเลือกเสียแล้ว แต่หากเราติดตามข่าวเศรษฐกิจ โดยเฉพาะข่าวที่เกี่ยวข้องกับ สินค้าเกษตร และเกษตรกรไทยมานาน จึงพอตาดการณ์ได้ว่า เรื่องนี้มีเหตุและผลรองรับได้เป็นอย่างดี เพราะหากเรายังคงขายในประเทศอย่างเดียว ก็จะมีแต่ตัดราคากันอยู่ร่ำไป ยกเว้นแปรรูปให้ได้แปลกใหม่กว่าเดิม

เรามีข่าวที่แนะนำ 4 ข่าวนี้ เป็นข่าวที่ทำให้ท่านคาดการณ์เองได้ว่า สินค้าเกษตรของไทย มีคนต้องการอยู่แดนไกล อีกมากทีเดียว ในขณะที่ตลาดในประเทศ ดูจะแข่งขันกันสูงมากเสียแล้ว

โพสท์ ทูเดย์

ธปท. เผยผลสำรวจธุรกิจค้าปลีกทรุด เนื่องจากคนซื้อหมดเงิน และต้นทุนการผลิตสินค้ากลับแพงขึ้น

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปม.) เผยผลสำรวจเรื่องผลกระทบจากไวรัส COVID-19 ต่อภาคธุรกิจไทย (BSI COVID) และผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก (Retailer Sentiment Index: RSI) เดือนมีนาคม 2565 โดยสามารถสรุปสาระสำคัญของแต่ละผลสำรวจได้ดังนี้

เศรษฐกิจชะลอตัว

(1) ผลสำรวจเรื่องผลกระทบจากไวรัส COVID-19 ต่อภาคธุรกิจไทย (BSI COVID)

เดือนมีนาคม 2565 ระดับการฟื้นตัวของธุรกิจโดยรวมปรับดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนจากภาคที่มิใช่การผลิต โดยเฉพาะภาคบริการ สอดคล้องกับการฟื้นตัวของระดับการจ้างงาน

จากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่ผ่อนคลายมากขึ้น ขณะที่การฟื้นตัวของภาคการผลิตปรับลดลงเล็กน้อย

สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนกระทบต้นทุนการผลิต ประกอบกับปัญหาการขนส่งที่ยังไม่คลี่คลาย

  • ธุรกิจมีมุมมองต่อการฟื้นตัวกลับไปสู่ระดับก่อน COVID-19 ล่าช้ากว่าการสำรวจรอบก่อน โดยกำลังซื้อที่อ่อนแอ และการแพร่ระบาดในประเทศยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัว
  • ธุรกิจส่วนใหญ่มีสภาพคล่องสำรองใกล้เคียงไตรมาสก่อน แต่การสต็อกวัตถุดิบคงคลังเพิ่มขึ้นในเกือบทุกธุรกิจ จากสถานการณ์การปิดโรงงานของคู่ค้าที่ทยอยคลี่คลายจากไตรมาสก่อน และราคาสินค้าที่มีแนวโน้มสูงขึ้น
เศรษฐกิจชะลอตัว

(2) ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก (RSI) ซึ่งจัดทำร่วมกับสมาคมผู้ค้าปลีกไทย

  • ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกทั้งปัจจุบันและอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับลดลงมาอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 จากกำลังซื้อที่อยู่ในระดับต่ำ มาตรการกระตุ้นการบริโภคทยอยหมดลง ค่าครองชีพสูงขึ้น และจำนวนผู้ติดเชื้อจากการระบาดสายพันธุ์ Omicron เพิ่มขึ้น
  • ประเด็นพิเศษ พบว่า ผู้บริโภคมีแนวโน้มใช้จ่ายลดลงจากเดือนก่อน ตามมาตรการกระตุ้นการบริโภคที่หมดลง และประเมินว่าสถานการณ์จะปรับแย่ลงอีก จากกำลังซื้อที่ยังอ่อนแอ และปัจจัยกดดันจากราคาสินค้าพื้นฐานหลายหมวดปรับแพงขึ้น สะท้อนจากพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ผู้บริโภคเลือกซื้อเฉพาะสินค้าที่มีโปรโมชั่นและเลือกสินค้าที่มีขนาดบรรจุภัณฑ์เล็กลง

2. สินค้าเกษตรไทย ส่งออกไปต่างประเทศเพิ่มขึ้น ข่าวดีของพี่น้องเกษตรกร

สินค้าเกษตรไทยส่งออก 2564

ฐานเศรษฐกิจ

จับตา 3 กลุ่มสินค้าของไทยที่ส่งไปขายยังต่างประเทศโตสวนโควิดได้แก่ สินค้าเกษตร  อุตสาหกรรมเกษตร อุตสาหกรรม  “พาณิชย์”มั่นใจ ทั้งปี 64 ส่งออก15-16%  เตรียมหารือกรอ.พาณิชย์ ประเมินส่งออกปี 65

  • กระทรวงพาณิชย์ได้เปิดตัวเลขส่งออก11 เดือนไปแล้ว พบว่า ตั้งแต่ มกราคม-พฤศจิกายน 2564
    ส่งออกไทยขยายตัว16.4% เฉพาะเดือนพ.ย.บวก 24.7% ทำให้กระทรวงพาณิชย์มั่นใจว่าทั้งปี 64 ส่งออกไทยน่าจะขยายตัว15-16%   
  • ปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้การส่งออกเดือนพ.ย. 2564 ดีขึ้นถึง 24.7%
    • คือการผลักดันการส่งออกในทุกรูปแบบร่วมกับภาคเอกชนในรูป กรอ.พาณิชย์ (คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์)
    • ประกอบกับการบริโภคฟื้นตัวต่อเนื่องในหลายประเทศ การขยายตัวของภาคการผลิตทั่วโลก ดัชนี PMI (ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตโลก) อยู่เหนือระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11

ส่งผลให้ขายดีขึ้น ค่าเงินบาทยังอ่อนค่าอยู่ ช่วยให้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาได้ในตลาดโลก และการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งสินค้าเกษตร น้ำมันดิบ โลหะ เป็นปัจจัยบวกต่อการส่งออก ทำให้ราคาในตลาดโลกสูงขึ้น

ทำให้กระทรวงพาณิชย์ คาดว่า การส่งออกทั้งปี 2564 คงไม่ต่ำกว่า 15-16% ส่วนเป้าหมายปี 2565 จะประชุม กรอ.พาณิชย์ เพื่อประเมินสถานการณ์ร่วมกันก่อน ซึ่งขณะนี้ ได้ประเมินตัวเลขไว้แล้ว แต่ต้องรอประชุมหารือร่วมกับภาคเอกชนก่อน อาจจะเป็นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปีนี้ หรือไม่ก็สัปดาห์แรกต้นปี 2565

สินค้าเกษตรไทยส่งออก 2564

อย่างไรก็ตาม การที่ส่งออกไทยมีการขยานยตัวต่อเนื่องมาจากการส่งออกใน 3 หมวดสินค้า  ซึ่งประกอบด้วย หมวดสินค้าเกษตร หมวดสินค้าเกษตรอุตสาหกรรม และหมวดอุตสาหกรรม

โดยจะเห็นได้ว่า การส่งของไปยังต่างประเทศของ หมวดสินค้าเกษตร มีการขยายตัวเป็นบวกที่ 14.2% ซึ่งถือว่าเป็นการขยายตัวต่อเนื่อง 13 เดือนซึ่ง มูลค่าเดือนพฤศจิกายน 68,462 ล้านบาท ซึ่งสินค้าที่ส่งออกได้ดี เช่น

  1. ทุเรียนสด +138.9% ขยายตัวดีมากในตลาดจีนและเกาหลีใต้ 
  2. มะม่วงสด +48.6% ขยายตัวดีมากในตลาดมาเลเซีย เกาหลีใต้ เมียนมา ญี่ปุ่นและลาว  
  3. ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง บวก 13 เดือนต่อเนื่อง เดือนพฤศจิกายน +48.6% ขยายตัวดีมาก ในตลาดจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้และมาเลเซีย  
  4. ลำไยสด เดือนพฤศจิกายน +24.7% เป็นบวก6 เดือนต่อเนื่อง ขยายตัวดีในตลาดจีน ฮ่องกง เวียดนาม มาเลเซียและฟิลิปปินส์  
  5. ยางพารา เดือน +23.5% เป็นบวก 14 เดือนต่อเนื่อง

หมวดสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร มีการขยายตัวเป็นบวก 21.2% ต่อเนื่องเป็นเดือานที่ 9 ซึ่ง สินค้าสำคัญ เช่น น้ำตาลทราย เดือนพฤศจิกายน +74%

ผลไม้แช่เย็นแช่แข็ง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป +34.5% บวกเดือนที่ 2 ติดต่อกัน  และอาหารสัตว์เลี้ยง บวกเป็นเดือนที่ 27 โดยเดือนพฤศจิกายน +25.9%

และหมวดสุดท้ายคือ หมวดสินค้าอุตสาหกรรม โดยมีการขยายตัวบวก 23.1% เป็นขยายตัวต่อเนื่อง 9 เดือนติดต่อกันซึ่งสินค้าที่ขยายตัวได้ดี เช่น สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ปิโตรเลียมเหลว เป็นต้น +72.9% เป็นบวก 10 เดือนต่อเนื่องเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เป็นบวก  12 เดือนต่อเนื่อง เดือนพฤศจิกายน +51.9%อัญมณีและเครื่องประดับ +24.9% เป็นบวกเดือนที่ 9 ติดต่อกัน  แผงวงจรไฟฟ้า +26.7% บวกติดต่อกันเป็นเดือนที่ 12คอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ บวก 12 เดือนต่อเนื่อง  +19.9%รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ + 13 เดือนต่อเนื่อง เป็น +12%

 ทั้งนี้ไม่ใช่เฉพาะหมวดสินค้าเท่านั้นที่ขยายตัวได้ดี ตลาดส่งออกสำคัญ ๆ ของไทยมีการขยายตัวต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เช่น
โดยตลาดที่ขยายตัวได้ดี 10 อันดับแรก ประกอบด้วย

  1. เอเชียใต้  +66%
  2. อาเซียน +55.1%
  3. ตะวันออกกลาง +40.7%
  4. เกาหลีใต้ +30.6%
  5. สภาพยุโรป +30.2%
  6. รัสเซียและกลุ่มประเทศ CSI +27.3% จีน +24.3%
  7. ไต้หวัน +24.2%
  8. สหรัฐฯ +20.5%
  9. ทวีปแอฟริกา +18.4%

3. อยากส่งออกสินค้าเกษตร...คุณทำได้ง่ายกว่าที่คิด??

สินค้าเกษตรไทยส่งออก 2564

รักบ้านเกิด

เกษตรกรไทย ปลูกได้ ขายเป็น และกำลังมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ด้วยการส่งออกสินค้าเกษตรไปยังต่างประเทศ แต่ยังไม่มีประสบการณ์ และยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง มีคำแนะนำดีดี จากผู้ประสบการณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาฝาก 

ก่อนอื่นตั้งคำถามกับตัวเอง และหาข้อมูลก่อนเลย

  1. ดูก่อนว่าตอนนี้เราทำอะไรอยู่ และอยากส่งออกอะไร (พืชผัก,ผลไม้,ไม้ดอก,ไม้ประดับ ฯลฯ)
  2. จะส่งออกไปประเทศไหน ?? (จีน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป อเมริกา ฯลฯ)
  3. มีคู่ค้า หรือตลาด ที่ประเทศปลายทางที่จะส่งออกแล้วหรือยัง?? (ปรึกษาสายด่วน 1169 กรมส่งเสริมระหว่างประเทศ)
  4. ศึกษาเงื่อนไขการนำเข้าสินค้าเกษตรของประเทศปลายทาง มีให้เลือก 2 ทางดังนี้
    1. ให้ลูกค้าปลายทาง เช็คเงื่อนไขการนำเข้าพืชกับเจ้าหน้าที่เกษตรขาเข้าที่ประเทศปลายทาง หรือขออนุญาตนำเข้า (Import permit)
    2. ศึกษาจากคู่มือเกี่ยวกับเงื่อนไขต่าง ๆ จากเว็บสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร
      http://www.doa.go.th/ard/?option=com_content&view=article&id=52&Itemid=110
สินค้าเกษตรไทยส่งออก 2564

ใบรับรองสุขอนามัยพืช เอกสารสำคัญที่ใครก็มีได้?

ยกตัวอย่าง การส่งออกผลไม้สดไปต่างประเทศ กับขั้นตอนการขอ ใบรับรองสุขอนามัยพืช (Phytosanitary Certificate)

  1. ศึกษาเงื่อนไขการนำเข้าของประเทศปลายทาง เช่น
    1. บางประเทศ ผลไม้จะต้องมาจากแปลงที่มีการรับรอง (GAP) และคัดบรรจุผลไม้ในโรงคัดบรรจุที่มีการรับรอง (GMP)
    2. บรรจุภัณฑ์ ต้องใหม่ สะอาด ไม่มีดิน ใบ กิ่ง และศัตรูพืชติดไปกับสินค้า มีฉลากติดข้างบรรจุภัณฑ์ตามข้อกำหนดของแต่ละประเทศ
    3. ผลไม้บางชนิด ต้องมีผลการตรวจรับรองสารพิษตกค้าง (Health Certificate) ตามเงื่อนไขของแต่ละประเทศปลายทาง
    4. ผลไม้บางชนิด ในบางประเทศ ก็มีจำกัดสายพันธุ์ไว้ด้วย
  2. ศึกษาเงื่อนไขการส่งออกผลไม้ของประเทศไทย เช่น ผลทุเรียนสด ต้องจดทะเบียนผู้ส่งออก (DU) ผลลำไยสด ต้องจดทะเบียนผู้ส่งออก (LO)
  3. ข้อกำหนดการติดฉลากบนสินค้า เช่น ทุเรียนสด ต้องติดฉลากรายละเอียดที่ขั้วผล

เมื่อศึกษาทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็ทำการยื่นเอกสารที่เกี่ยวข้องต่อด่านตรวจพืช กลุ่มบริการส่งออกสินค้าเกษตรและจัดเตรียมสินค้าสำหรับให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ หากไม่พบศัตรูพืชและเป็นไปตามข้อกำหนด เจ้าหน้าที่จะออกใบรับรองสุขอนามัยพืช

หากเป็นไปได้ให้ทดลอง ส่งตัวอย่างไปให้ลูกค้าได้ทดสอบ เพื่อทดสอบขั้นตอน และเอกสาร รวมทั้งค่าใช้จ่ายและเวลา ในการส่งออก ท่านจะพบว่าปัญหา มีอะไรบ้างที่ต้องแก้ไข เร่งด่วน และควรหาวิธีปรับปรุง ในการส่งออกสินค้าเป็นล็อต อีกทั้งยังช่วยป้องกันความเสียหาย จำนวนมากอีกด้วย

ยกตัวอย่างเงื่อนไขประเทศปลายทางกับการส่งออกมะม่วง ไปต่างประเทศ

  1. มะม่วงไป สหรัฐอเมริกา ต้องผ่านการฉายรังสีก่อนการส่งออก
  2. มะม่วงไป ญี่ปุ่น ต้องมีการอบไอน้ำก่อนส่งออก และส่งได้เฉพาะ มะม่วง 7 สายพันธุ์ ได้แก่ หนังกลางวัน น้ำดอกไม้ พิมเสนแดง มหาชนก แรด เขียวเสวย และโชคอนันต์
  3. มะม่วงไป เกาหลี ต้องมีการอบไอน้ำก่อนส่งออก และส่งได้เฉพาะ มะม่วง 3 สายพันธุ์ ได้แก่ หนังกลางวัน น้ำดอกไม้ และแรด

ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
http://www.doa.go.th/ard/wp-content/uploads/2019/11/SOP-การออกใบรับรองสุขอนามัยพืช-new.pdf

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการส่งออก : สอบถามได้ที่ กลุ่มบริการส่งออกสินค้าเกษตร สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร
กรมวิชาการเกษตร Tel.02-940-6467-8 email:epqsg@hotmail.com

ก่อนทำการส่งออก เกษตรกรควรได้มีการ เรียนรู้เรื่องวิธีการบรรจุ และการยืดอายุสินค้าเกษตรให้ดี และทดสอบจนแน่ใจว่า หากส่งสินค้าไปแล้ว จะไม่เน่าเสียระหว่างทาง ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีการบรรจุ มีผู้ให้ความรู้ได้หลายหน่วยงาน

4. กล้วยตาก”แสงตะวัน” บุกตะวันออกกลาง โต 30% ด้วยฝีมือชาวบ้านนี่เอง!

กล้วยตาก แสงตะวัน

ประชาชาติธุรกิจ

กล้วยตากแสงตะวันเมืองสองแควโกอินเตอร์ บุกตลาดตะวันออกกลาง อาหรับ-โอมาน-ดูไบ ชูจุดเด่นพันธุ์มะลิอ่องสีเหลืองทอง-หวาน ชี้เติบโตปีละ 30% พร้อมเตรียมรุกส่งออกตุรกี-ลงทุนด้านการแปรรูปแทนซาเนีย

นางดวงดรันย์ อยู่สวัสดิ์ ผู้ผลิตและจำหน่ายกล้วยตากพลังงานแสงอาทิตย์ แบรนด์แสงตะวัน จ.พิษณุโลก เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กล้วยตากแสงตะวันมีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นชาวต่างชาติ ได้แก่ ประเทศแถบตะวันออกกลาง ทั้งโอมาน อาหรับ ดูไบ ล่าสุดวางแผนส่งออกไปตุรกีและแทนซาเนีย ซึ่งเป็นประเทศมุสลิมทำให้มีคู่แข่งน้อย โดยช่วงรอมฎอนได้รับการตอบรับที่ดีมากจากลูกค้า ซึ่งผู้บริโภคมั่นใจในสินค้าไทย นอกจากนี้ยังมีกล้วยตากแช่น้ำผึ้งเดือนห้า เป็นน้ำผึ้งจากแบรนด์บีโปรดักต์ที่มีเครื่องหมาย

ฮาลาล ถือเป็นยาอายุวัฒนะและกินได้ตามหลักศาสนา ส่วนตลาดในประเทศวางจำหน่ายในท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต จ.เชียงใหม่ ทำให้สัดส่วนการส่งออกมากกว่าตลาดภายในประเทศถึง 70%

ปัจจุบันแบรนด์กล้วยตากแสงตะวันมีสินค้าอยู่ 3 ชนิด คือ

กล้วยตากธรรมชาติ กล้วยแช่น้ำผึ้ง และกล้วยม้วน แต่ที่ได้รับความนิยมในอาหรับคือ กล้วยแช่น้ำผึ้ง ราคาขายปลีกอยู่ที่ 180 บาท โดยมีคำว่าอาลีนเป็นภาษาอาหรับแทนสัญลักษณ์ฮาลาล ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาอัตราการเติบโต 20-30% อย่างต่อเนื่อง ส่งออกประมาณ 2-3 ตู้คอนเทนเนอร์/ปี โดย 1 ตู้คอนเทนเนอร์ น้ำหนักประมาณ 25 ตัน มูลค่าตู้ละ 1.2 ล้านบาท ซึ่งเฉลี่ยส่งออกปีละประมาณ 3 รอบ และสามารถเก็บไว้รับประทานได้นาน 1 ปี เหมาะกับช่วงเวลาในการขนส่งไปจนถึงมือผู้บริโภค

กล้วยตาก แสงตะวัน

ทั้งนี้ กล้วยตากแสงตะวันมาจากการผลิตกล้วยตากในอำเภอบางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยกว่า 80 ปีแล้ว และขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตกล้วยตากอันดับ 1 ของประเทศ ซึ่งเรื่องราวการทำกล้วยตากนั้นสามารถสื่อถึงวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตของคนพิษณุโลกได้ โดยจะใช้กล้วยสายพันธุ์มะลิอ่องจากเมืองพิษณุโลกหรือเมืองสองแควเท่านั้น เพราะมีลักษณะเฉพาะทั้งเรื่องของรสชาติและสี เนื้ออวบอ้วน ใส เป็นสีขาว ตากแล้วไม่ดำ เมื่อตากประมาณ 5 แดด จะได้กล้วยเป็นสีทอง น้ำที่ออกมาจากกล้วยจะมีรสชาติดีเหมือนกับน้ำผึ้ง ทำให้ได้รสชาติที่อร่อยถูกปาก

“จุดเริ่มต้นของแบรนด์" คือ แรงบันดาลใจในการนำเสนอสินค้าโอท็อปที่มีชื่อเสียงของพิษณุโลกออกไปสู่ตลาดต่างประเทศ และการตากกล้วยโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เป็นที่มาของชื่อแบรนด์ เราได้รับด้านนวัตกรรมจากมหาวิทยาลัยศิลปากร ในเรื่องของการสร้างโดมพาราโบลาในการตากกล้วย ปัจจุบันมีโรงงาน 30 แห่งที่ทดลองใช้ จนมาทำเป็นแบบโดม สามารถควบคุมเรื่องของคุณภาพได้กว่า 93-95% ทำให้ได้กล้วยตากที่มีคุณภาพดี ด้วยกำลังการผลิต 1,800 กิโลกรัม/วัน มีพื้นที่ผลิตอยู่ทั้งหมด 7 โดม รวมกับกล้วยตากของชาวบ้านที่ใช้โดมในการผลิตเช่นกัน

ดูข้อมูล การแปรรูปกล้วยตาก
ข้อมูลเพิ่มเติม การจำหน่ายกล้วยตาก ออนไลน์

Facebook กล้วยตากแสงตะวัน
Lazada บ้านนาอาบแดด

เรื่องอื่นที่น่าอ่าน

แชร์ได้นะ!

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Shopping Cart