ปุ๋ยจากใบไม้แห้ง มีทั้งธาตุอาหารลหัก และธาตุอาหารรอง ที่พืชต้องการ อย่างครบถ้วน

ปุ๋ยจากใบไม้แห้ง

โดยทั่วไปอาคารสถานที่นิยมปลูกต้นไม้รอบอาคาร เพื่อให้ร่มเงา บังแดด และเพิ่มออกซิเจน แต่ใบไม้กลับกลายเป็นขยะเมื่อร่วงหล่นลงบนพื้น การจัดการใบไม้มักนิยม เผาทิ้ง และกำจัดปริมาณ แต่อาคารสมัยใหม่นิยมนำมาใส่ที่โคนต้นไม้ เพื่อให้เป็นปุ๋ยแก่ต้นไม้ ซึ่งเมื่อใบไม้ย่อยสลายก็เปลี่ยนขยะในสายตาของผู้ดูแลอาคารเป็นปุ๋ยธรรมชาติคืนสู่ต้นไม้ 

ปุ๋ยจากใบไม้แห้ง มีทั้งธาตุอาหารลหัก และธาตุอาหารรอง ที่พืชต้องการ อย่างครบถ้วน

โดยแท้จริงแล้ว รากของต้นไม้ไม่ได้อยู่ที่โคนไม้เพียงอย่างเดียว ต้นไม้จะแผ่ขยายรากของตนเองออกไปรอบลำต้น โดยปกติมีขนาดกว้างเท่ากับกิ่งที่แตกขยายออกไปนั่นเอง แต่การรักษาความสะอาดบริเวณอาคารเป็นเรื่องหลัก

ใบไม้จึงต้องใส่เฉพาะโคนต้นเท่านั้น รากที่อยู่โดยรอบลำต้น จึงต้องมุดลงดินให้ลึกลงไปเพื่อดูดหาธาตุอาหาร ซึ่งผิดไปจากธรรมชาติของต้นไม้ ทำให้ไม้ยืนต้นที่ปลูกประดับอาคารส่วนใหญ่เป็นต้นไม้ที่อมโรค ไม่แข้งแรง

หากเปรียบเทียบกับต้นไม้ในแปลงหรือกระถางที่ปลูก เราจะดูแลได้ดีกว่าไม้ยืนต้น เนื่องจากมีขนาดเล็กและเป็นไม้ที่ผู้ปลูกต้องการ จึงเสาะหานำมาปลูกในพื้นที่น้อยนิด การปลูกไม้ในกระถางจะได้รับการเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี

เมื่อเทียบกับไม้ยืนต้นทั่วไป แต่ไม้ขนาดเล็กก็มีใบน้อยและไม่มีปุ๋ยเพียงพอที่จะเลี้ยงต้นให้เติบโตสมบูรณ์ได้เอง ผู้ปลูกจึงต้องเติมปุ๋ย และธาตุอาหารเพิ่มให้เป็นประจำ

ปุ๋ยจากใบไม้แห้ง จึงเป็นสิ่งจำเป็นทั้งการปลูกในแปลงและการปลูกในกระถาง

ปุ๋ยจากใบไม้แห้ง มีธาตุอาหารอะไรบ้าง?

ใบไม้แห้งมีธาตุอาหารหลายชนิดที่อยู่ในรูปแบบของวัตถุอินทรีย์ ซึ่งประกอบไปด้วยธาตุอาหารหลักต่อไปนี้:

  • คาร์บอน (Carbon): เป็นองค์ประกอบหลักในสารอินทรีย์ที่สร้างโครงสร้างของพืช มีบทบาทสำคัญในกระบวนการสังเคราะห์แสง (photosynthesis) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้พลังงานแสงเข้ามาสร้างอาหารในพืช
  • ไนโตรเจน (Nitrogen): เป็นธาตุที่สำคัญในการสร้างกรดอะมิโนและโปรตีน ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของเซลล์ การได้รับไนโตรเจนเพียงพอช่วยให้พืชเจริญเติบโตและมีสมรรถภาพในการดูดซึมสารอาหารอื่นๆ
  • ฟอสฟอรัส (Phosphorus): เป็นส่วนประกอบหลักของกรดนิวคลีอิก (nucleic acid) และเอดีพี (ATP) ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานในเซลล์ ฟอสฟอรัสมีบทบาทสำคัญในกระบวนการเจริญเติบโตของรากและการเจริญเติบโตของเมล็ดพืช
  • โพแทสเซียม (Potassium): เป็นส่วนประกอบหลักของเซลล์พืช ช่วยเสริมสร้างโครงสร้างเซลล์ และมีบทบาทในการควบคุมการเปิด-ปิดของกลไกประตูน้ำในใบไม้ ทำให้พืชสามารถสังเคราะห์แสงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • แมกนีเซียม (Magnesium): เป็นส่วนประกอบหลักของโคโลไคอล (chlorophyll) ซึ่งเป็นสารสีเขียวในใบพืช ช่วยในกระบวนการสังเคราะห์แสงและเร่งการสังเคราะห์แป้ง

นอกจากนี้ยังมีธาตุอาหารรองอื่นๆ ที่พบในใบไม้แห้ง เช่น แมงกานีส (Manganese) ซิงก์ (Zinc) ไอโอดีน (Iodine) โบรอน (Boron) และอื่นๆ ซึ่งเป็นสารอาหารที่พืชต้องการในปริมาณน้อยกว่าธาตุหลัก แต่ก็มีบทบาทสำคัญในกระบวนการเติบโตและพัฒนาของพืช

ปุ๋ยจากใบไม้แห้ง มีทั้งธาตุอาหารลหัก และธาตุอาหารรอง ที่พืชต้องการ อย่างครบถ้วน

การนำใบไม้แห้งไปเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ควรทำอย่างไร?

การนำใบไม้แห้งไปใช้เป็นปุ๋ยจากใบไม้แห้งสามารถทำได้โดยการตากแห้งและบดใบไม้เพื่อทำเป็นวัสดุปุ๋ยอินทรีย์ ต่อไปนี้คือขั้นตอนที่คุณสามารถทำได้:

  • ตากแห้งใบไม้: วางใบไม้แห้งที่มีความชุ่มชื้นต่ำในที่ร่มรำไรและลมพัด ให้ใบไม้แห้งเต็มที่ก่อนดำเนินการต่อไปเพื่อลดความชื้นออกจากใบไม้
  • บดใบไม้: ใช้เครื่องบดหรือมีดบดใบไม้ให้ละเอียดเป็นชิ้นเล็กๆ ให้สามารถใช้เป็นปุ๋ยได้ง่ายขึ้น
  • ผสมกับวัสดุอื่น (ตัวผสมเสริม): ใบไม้แห้งอาจมีปริมาณธาตุอาหารที่ไม่เพียงพอสำหรับพืช ดังนั้นคุณอาจต้องผสมใบไม้แห้งกับวัสดุอื่น เช่น ปุ๋ยคอก เศษอาหารหรือเศษผักจากครัว เป็นต้น เพื่อเพิ่มปริมาณธาตุอาหารให้ครอบคลุมมากขึ้น
  • ใช้เป็นปุ๋ย: นำวัสดุปุ๋ยที่ผสมกันได้ไปใส่รอบโคนต้นไม้ในปริมาณที่เหมาะสม คุณสามารถกระจายวัสดุปุ๋ยลงไปรอบโคนต้น หรือฝังลึกเล็กน้อยแล้วกลบด้วยดินก็ได้
  • รดน้ำ: หลังจากใส่ปุ๋ยลงไปแล้ว รดน้ำให้ทั่วทั้งพื้นที่เพื่อให้ปุ๋ยละลายและซึมลงสู่ระบบรากของต้นไม้ได้
  • การใช้ปุ๋ย: ปฏิบัติตามความต้องการและชนิดของต้นไม้ที่คุณปลูก ควรใช้ปุ๋ยที่ผสมได้อย่างสมดุลย์และไม่ให้เกินปริมาณ เพราะอาจทำให้พืชเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตไม่เต็มที่หรือเกิดพิษได้

โดยทั่วไปแล้วใบไม้แห้งที่ใช้เป็นปุ๋ยสามารถใช้กับพืชทั่วไปได้ แต่ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและคำนึงถึงความต้องการของพืชเอง ซึ่งปุ๋ยจากใบไม้แห้งหากใช้มากก็อาจก่อให้เกิดเชื้อราได้ ฟาร์มอยู่ดีมีสุข จึงผลิตปุ๋ยจากใบไม้แห้งจำหน่ายแบบ ผสมไตรโคเดอร์มาอีกรูปแบบหนึ่งด้วย เพื่อป้องกันเชื้อราที่เป็นศัตรูพืช

จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง คืออะไร

จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงคือสิ่งมีชีวิตที่สามารถดักจับ และใช้พลังงานจากแสงแดดเพื่อแปลงแสงเป็นพลังงานเคมี ซึ่งช่วยในกระบวนการสังเคราะห์อาหารของพืช กระบวนการนี้ทำให้พืชสามารถเติบโตและอยู่รอดได้ เป็นขั้นตอนที่สำคัญในเคมีชีวภาพและอายุวิทยา เนื่องจากนอกจากสังเคราะห์อาหารแล้วยังเป็นกระบวนการที่สร้างออกซิเจนในสภาพอากาศให้กับโลกด้วย

สิ่งมีชีวิตที่สามารถดักจับและใช้พลังงานจากแสงแดดเพื่อแปลงแสงเป็นพลังงานเคมีซึ่งช่วยในกระบวนการสังเคราะห์อาหารของพืช

กระบวนการสังเคราะห์แสงมีขั้นตอนหลัก ๆ คือ:

  • ดักจับแสง: ใช้โมเลกุลคลอโรฟิลล์ในโคโคอยด์และคลอโรฟิลล์ในโคโคอราส์ในเซลล์พืชเพื่อดักจับแสงแสงที่มาจากแสงแดด.
  • สังเคราะห์: ด้วยพลังงานที่ได้จากแสง คลอโรฟิลล์แปลงตัวเองให้เป็นอาหารโดยใช้การต่อสู้เมตตาเบอร์กัลล์ของน้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โมเลกุลของน้ำรวมกับคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่กระบวนการสังเคราะห์แสงในส่วนของสตรีโคเม็กาส์
  • ผลิตอาหารและออกซิเจน: ผลิตกรณีอาหารเป็นกลุ่มแป้งและน้ำตาล ในขณะที่ออกซิเจนถูกสร้างขึ้นเป็นผลของกระบวนการนี้

กระบวนการสังเคราะห์แสงมีความสำคัญทางทฤษฎีในภาควิชาชีววิทยา นอกจากนี้ยังมีผลกระทบในด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากออกซิเจนที่ถูกผลิตขึ้นจากกระบวนการสังเคราะห์แสงสามารถส่งเสริมชีวิตในโลกโดยเพิ่มความหลากหลายของชีวิตที่มีบนโลก นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ส่งเสริมการกระจายคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการเกิดการเร่งรัดของโลกร้อนในปัจจุบัน การสังเคราะห์แสงเป็นกระบวนการที่สำคัญและเป็นประโยชน์ในโลกของเรา

จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง ช่วยให้ใบไม้ย่อยสลายเร็วหรือไม่?

จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถทำกระบวนการสังเคราะห์แสงได้ ด้วยการดูดซับแสงและใช้พลังงานจากแสงเพื่อสร้างอาหารในกระบวนการสังเคราะห์แสง ในกระบวนการนี้ จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงสร้างอาหารอินทรีย์เช่นกลูโคส (glucose) จากการรวมกันของคาร์บอนไดออกไซด์ (carbon dioxide) และน้ำ (water) โดยใช้แสงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานในกระบวนการนี้ ผลผลิตจากกระบวนการสังเคราะห์แสงเช่นนั้นคืออาหารและสารอินทรีย์ที่จะนำไปใช้ในกระบวนการเจริญเติบโตและพัฒนาของพืช ซึ่งส่งผลให้ใบไม้สลายเร็วขึ้นเมื่อถูกจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงและจุลินทรีย์ต่างๆ เช่น แบคทีเรีย และราสาเหตุโรคพืชช่วยย่อยสลายใบไม้เป็นส่วนประกอบของดิน ซึ่งเร่งกระบวนการย่อยสลายและกลับเป็นอาหารสำหรับจุลินทรีย์ในดินเพิ่มขึ้น ต่อไปนี้จะมีการสลายใบไม้เป็นอินทรีย์วัตถุในดินที่ดีขึ้นและเป็นประโยชน์ในกระบวนการเจริญเติบโตของพืชอื่นๆ ดังนั้นจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงมีบทบาทสำคัญในกระบวนการย่อยสลายใบไม้ และฟื้นฟูดินให้มีคุณภาพดีขึ้นในระยะยาว

ไตรโคเดอร์มา คืออะไร

ไตรโคเดอร์มา (Trichoderma) เป็นเชื้อราที่อยู่ในกลุ่มของเชื้อราที่มีประโยชน์ต่อพืชและสิ่งแวดล้อม มีลักษณะเป็นเส้นใยและพัฒนาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง สามารถพบได้ในดินและสิ่งแวดล้อมที่มีเศษซากพืชต่าง ๆ อยู่

มีความสำคัญในการช่วยในกระบวนการเสริมสร้างความเสียงแข็งแรงในพืช ด้วยประสิทธิภาพในการควบคุมและป้องกันการระบาดของเชื้อราที่เป็นอันตรายต่อพืช

ไตรโคเดอร์มามีความสำคัญในการช่วยในกระบวนการเสริมสร้างความแข็งแรงในพืช ด้วยประสิทธิภาพในการควบคุมและป้องกันการระบาดของเชื้อราที่เป็นอันตรายต่อพืช ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญในการเกษตรกับการปลูกพืชขนาดใหญ่ การใช้ไตรโคเดอร์มาในเกษตรกรรมมีชื่อเสียงเป็นอย่างดี เพราะไม่ต้องพ่นสารเคมีที่อาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพมนุษย์ เชื้อไตรโคเดอร์มาทำหน้าที่กำจัดและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราที่เป็นอันตราย นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในพืชเพื่อทำให้พืชแข็งแกร่งและสามารถต้านทานโรคได้ดีขึ้นด้วย

นอกจากนี้ยังมีการนำไตรโคเดอร์มามาใช้ในอุตสาหกรรมเกษตรที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงคุณภาพดิน การกระตุ้นการเจริญเติบโตของรากพืช และการเพิ่มประสิทธิภาพในการเพาะปลูกพืชเพื่อเพิ่มผลผลิตให้กับเกษตรกร โดยควบคู่กับเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การใช้ไตรโคเดอร์มาเป็นตัวช่วยในการจัดการโรคพืชทำให้เกษตรกรสามารถลดการใช้สารเคมีและส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืนและมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น

การนำใบไม้แห้งไปใช้ประโยชน์แก่ต้นไม้ในกระถาง

การนำใบไม้แห้งไปใช้ประโยชน์แก่ต้นไม้ในกระถางสามารถทำได้ดังนี้:

  • ใช้เป็นวัสดุปุ๋ย: ใบไม้แห้งสามารถใช้เป็นวัสดุปุ๋ยอินทรีย์ในกระถางต้นไม้ได้ คุณสามารถบดใบไม้แห้งให้ละเอียดแล้วนำมาผสมกับปุ๋ยคอก เช่น มูลวัวหรืออื่นๆ เพื่อเพิ่มปริมาณธาตุอาหารให้กับต้นไม้ในกระถาง
  • ใช้เป็นชั้นคลุมดิน: วางใบไม้แห้งบนผิวดินในกระถาง เพื่อให้เกิดการรักษาความชื้นและลดการระเหยของน้ำออกจากดิน ทำให้รากต้นไม้สามารถดูดน้ำและสารอาหารจากดินได้มากขึ้น
  • ใช้เป็นวัสดุตัวกลางในการระบายน้ำ: ใส่ใบไม้แห้งลงในกระถางต้นไม้เป็นชั้นระหว่างดิน ช่วยเพิ่มพื้นที่เพื่อให้น้ำสามารถระบายได้ดีและลดการขัดขวางของดิน
  • ใช้เป็นวัสดุห่อหุ้มราก: ถ้าคุณปลูกต้นไม้ในกระถางโดยใช้ระบบรากเปิด (open root system) คุณสามารถใช้ใบไม้แห้งมาห่อหุ้มรากต้นไม้ เพื่อช่วยรักษาความชื้นและป้องกันการระเหยของน้ำออกจากราก
  • ใช้เป็นวัสดุในการสร้างกล้ามเนื้อดิน: ใบไม้แห้งสามารถใช้ในกระบวนการสร้างกล้ามเนื้อดิน (composting) โดยการสลายให้เป็นส่วนประกอบของปุ๋ยหมัก จะทำให้ปุ๋ยหมักมีคุณภาพดีและเสริมสร้างความอุดมสมบูรณ์ของดินในกระถาง
  • ใช้เป็นวัสดุในการเพาะเมล็ดพืช: คุณสามารถใช้ใบไม้แห้งโรยบนผิวดินในกระถางเพื่อป้องกันการระเหยน้ำเร็วเกินไป และช่วยในกระบวนการเพาะเมล็ดพืช

คำแนะนำในการใช้ใบไม้แห้งในกระถางคือควรใช้ใบไม้ที่ไม่มีการพ่นสารเคมี หรือไม่มีสารพิษ เช่นใบไม้จากต้นไม้ในสวนหรือที่ได้จากแหล่งธรรมชาติที่ปลอดภัย และควรตรวจสอบความชื้นในกระถาง และดินอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้รากต้นไม้สามารถเจริญเติบโตได้อย่างดีเต็มที่

ปุ๋ยจากใบไม้แห้ง มีทั้งธาตุอาหารลหัก และธาตุอาหารรอง ที่พืชต้องการ อย่างครบถ้วน

ข้อควรระวังในการนำใบไม้แห้งไปใช้ประโยชน์

เมื่อนำใบไม้แห้งไปใช้ในการประโยชน์ต่อต้นไม้หรือในกระถาง ควรระวังและปฏิบัติตามข้อควรระวังต่อไปนี้:

  • ไม่ใช้ใบไม้ที่มีการพ่นสารเคมีหรือปกติที่มีสารพิษ: หลีกเลี่ยงการใช้ใบไม้ที่อาจมีสารพิษหรือสารเคมีตกค้าง เช่น ใบไม้ที่ถูกพ่นด้วยสารฆ่าแมลงหรือสารป้องกันกำจัดวัชพืช เนื่องจากอาจมีผลกระทบต่อรากต้นไม้หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในระบบราก
  • ใช้ใบไม้แห้งที่สะอาดและปลอดเชื้อโรค: แนะนำให้ใช้ใบไม้ที่ไม่มีเชื้อราหรือโรคพืชที่สามารถแพร่กระจายได้ การใช้ใบไม้ที่เป็นโรงเก็บเกี่ยวจากพืชอื่นๆ อาจทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อราหรือโรคพืชได้
  • ไม่ใส่จำนวนใบไม้แห้งมากเกินไป: อย่าใส่จำนวนใบไม้แห้งที่มากเกินไปในกระถาง เพราะอาจทำให้ดินไม่ระบายน้ำได้ และเกิดการกัดกร่อนของรากต้นไม้ได้
  • ตรวจสอบความชื้นในกระถางและดิน: ควรตรวจสอบความชื้นในกระถางและดินอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรให้ใบไม้แห้งอยู่ในสภาวะชื้นแฉะเนื่องจากอาจทำให้เกิดการเน่าเสีย และการเจริญเติบโตของเชื้อราได้
  • ระมัดระวังการเกิดแมลงศัตรูพืช: ใบไม้แห้งอาจเป็นที่อาศัยของแมลงศัตรูพืช เช่น เพลี้ยไฟหรือเพลี้ยกระโดด ควรตรวจสอบและกำจัดแมลงศัตรูพืชที่อาจปรากฏตัวบนใบไม้แห้ง
  • ใช้ใบไม้แห้งที่ไม่เป็นภาระสำหรับต้นไม้: หลีกเลี่ยงการใช้ใบไม้แห้งที่มีขนาดใหญ่เกินไป หรือเป็นภาระที่เกินขนาดกับต้นไม้ในกระถาง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือการหดตัวของรากต้นไม้ได้

ดังนั้น การใช้ใบไม้แห้งในกระถางต้องมีการตรวจสอบ และความระมัดระวังในการดูแลอย่างถูกต้อง เพื่อให้ต้นไม้สามารถเจริญเติบโตและพัฒนาได้อย่างสมบูรณ์

ใบไม้แห้งสามารถนำไปเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ได้ดี แต่ควรพิจารณาประเภทของใบไม้และสภาพของใบไม้ก่อนนำไปใช้เพื่อประโยชน์ที่เหมาะสม:

  • ควรเลือกใบไม้ที่ไม่มีสัญญาณของโรคหรือแมลงศัตรูพืช เพราะอาจทำให้โรคหรือแมลงแพร่กระจายไปยังต้นไม้ที่ได้รับปุ๋ย
  • หลีกเลี่ยงการใช้ใบไม้ที่อาจมีการพ่นสารเคมีหรือสารพิษ เช่นใบไม้จากต้นไม้ที่ถูกพ่นสารฆ่าแมลงหรือสารป้องกันกำจัดวัชพืช เพราะอาจมีผลกระทบต่อรากต้นไม้หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในระบบราก
  • มีใบไม้บางสายพันธุ์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะที่ทำให้เหมาะสำหรับการนำไปใช้เป็นปุ๋ย ตัวอย่างเช่นใบพืชตระกูลถั่ว ใบพืชตระกูลบัว เป็นต้น ซึ่งมีสารอินทรีย์และธาตุอาหารที่มีประโยชน์สำหรับพืชสูงกว่าใบไม้อื่นๆ
  • ใบไม้ที่ถูกแดดและตากแห้งอย่างถูกต้องก่อนนำไปใช้ จะช่วยลดความชื้นภายในใบไม้ และป้องกันการเกิดการเน่าเสียหรือการเจริญเติบโตของเชื้อรา
  • สำหรับใบไม้ที่เป็นเศษหรือเศษใบไม้เล็กๆ สามารถนำไปใส่ในการสร้างกล้ามเนื้อดิน (composting) เพื่อใช้เป็นส่วนประกอบของปุ๋ยหมัก ในกรณีนี้ควรผสมใบไม้แห้งกับวัสดุอื่น เช่น วัสดุคอกหรือเศษผักจากครัว เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์และปริมาณธาตุอาหารในปุ๋ยหมัก

ควรจำไว้ว่าใบไม้แห้งเป็นแหล่งอินทรีย์ที่ย่อยสลายช้า การนำไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ ควรป่นหรือบดให้ละเอียดเพื่อให้เกิดประโยชน์ได้เร็ว ซึ่งจะสามารถช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดินและพืชได้ แต่ควรใช้ใบไม้แห้งให้ถูกต้องสำหรับวัตถุประสงค์ที่เหมาะสมกับคุณลักษณะของใบไม้นั้นๆ

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Shopping Cart
Scroll to Top