ปลูกต้นไม้ให้โตเร็วต้องใช้วัสดุปลูกที่ได้ผลจริง

วัสดุปลูกต้นไม้ ที่ให้ผลจริง

โดยทั่วไปอาคารสถานที่นิยมปลูกต้นไม้รอบอาคาร เพื่อให้ร่มเงา บังแดด และเพิ่มออกซิเจน แต่ใบไม้กลับกลายเป็นขยะเมื่อร่วงหล่นลงบนพื้น การจัดการใบไม้มักนิยม เผาทิ้ง และกำจัดปริมาณ แต่อาคารสมัยใหม่นิยมนำมาใส่ที่โคนต้นไม้ เพื่อให้เป็นปุ๋ยแก่ต้นไม้ ซึ่งเมื่อใบไม้ย่อยสลายก็เปลี่ยนขยะในสายตาของผู้ดูแลอาคารเป็นปุ๋ยธรรมชาติคืนสู่ต้นไม้ 

ปุ๋ยจากใบไม้แห้ง มีทั้งธาตุอาหารลหัก และธาตุอาหารรอง ที่พืชต้องการ อย่างครบถ้วน

โดยแท้จริงแล้ว รากของต้นไม้ไม่ได้อยู่ที่โคนไม้เพียงอย่างเดียว ต้นไม้จะแผ่ขยายรากของตนเองออกไปรอบลำต้น โดยปกติมีขนาดกว้างเท่ากับกิ่งที่แตกขยายออกไปนั่นเอง แต่การรักษาความสะอาดบริเวณอาคารเป็นเรื่องหลัก

ใบไม้จึงต้องใส่เฉพาะโคนต้นเท่านั้น รากที่อยู่โดยรอบลำต้น จึงต้องมุดลงดินให้ลึกลงไปเพื่อดูดหาธาตุอาหาร ซึ่งผิดไปจากธรรมชาติของต้นไม้ ทำให้ไม้ยืนต้นที่ปลูกประดับอาคารส่วนใหญ่เป็นต้นไม้ที่อมโรค ไม่แข้งแรง

หากเปรียบเทียบกับต้นไม้ในแปลงหรือกระถางที่ปลูก เราจะดูแลได้ดีกว่าไม้ยืนต้น เนื่องจากมีขนาดเล็กและเป็นไม้ที่ผู้ปลูกต้องการ จึงเสาะหานำมาปลูกในพื้นที่น้อยนิด การปลูกไม้ในกระถางจะได้รับการเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี

เมื่อเทียบกับไม้ยืนต้นทั่วไป แต่ไม้ขนาดเล็กก็มีใบน้อยและไม่มีปุ๋ยเพียงพอที่จะเลี้ยงต้นให้เติบโตสมบูรณ์ได้เอง ผู้ปลูกจึงต้องเติมปุ๋ย และธาตุอาหารเพิ่มให้เป็นประจำ

ปุ๋ยจากใบไม้แห้ง จึงเป็นสิ่งจำเป็นทั้งการปลูกในแปลงและการปลูกในกระถาง

ปุ๋ยจากใบไม้แห้ง มีธาตุอาหารอะไรบ้าง?

ใบไม้แห้งมีธาตุอาหารหลายชนิดที่อยู่ในรูปแบบของวัตถุอินทรีย์ ซึ่งประกอบไปด้วยธาตุอาหารหลักต่อไปนี้:

  • คาร์บอน (Carbon): เป็นองค์ประกอบหลักในสารอินทรีย์ที่สร้างโครงสร้างของพืช มีบทบาทสำคัญในกระบวนการสังเคราะห์แสง (photosynthesis) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้พลังงานแสงเข้ามาสร้างอาหารในพืช
  • ไนโตรเจน (Nitrogen): เป็นธาตุที่สำคัญในการสร้างกรดอะมิโนและโปรตีน ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของเซลล์ การได้รับไนโตรเจนเพียงพอช่วยให้พืชเจริญเติบโตและมีสมรรถภาพในการดูดซึมสารอาหารอื่นๆ
  • ฟอสฟอรัส (Phosphorus): เป็นส่วนประกอบหลักของกรดนิวคลีอิก (nucleic acid) และเอดีพี (ATP) ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานในเซลล์ ฟอสฟอรัสมีบทบาทสำคัญในกระบวนการเจริญเติบโตของรากและการเจริญเติบโตของเมล็ดพืช
  • โพแทสเซียม (Potassium): เป็นส่วนประกอบหลักของเซลล์พืช ช่วยเสริมสร้างโครงสร้างเซลล์ และมีบทบาทในการควบคุมการเปิด-ปิดของกลไกประตูน้ำในใบไม้ ทำให้พืชสามารถสังเคราะห์แสงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • แมกนีเซียม (Magnesium): เป็นส่วนประกอบหลักของโคโลไคอล (chlorophyll) ซึ่งเป็นสารสีเขียวในใบพืช ช่วยในกระบวนการสังเคราะห์แสงและเร่งการสังเคราะห์แป้ง

นอกจากนี้ยังมีธาตุอาหารรองอื่นๆ ที่พบในใบไม้แห้ง เช่น แมงกานีส (Manganese) ซิงก์ (Zinc) ไอโอดีน (Iodine) โบรอน (Boron) และอื่นๆ ซึ่งเป็นสารอาหารที่พืชต้องการในปริมาณน้อยกว่าธาตุหลัก แต่ก็มีบทบาทสำคัญในกระบวนการเติบโตและพัฒนาของพืช

ปุ๋ยจากใบไม้แห้ง มีทั้งธาตุอาหารลหัก และธาตุอาหารรอง ที่พืชต้องการ อย่างครบถ้วน

การนำใบไม้แห้งไปเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ควรทำอย่างไร?

การนำใบไม้แห้งไปใช้เป็นปุ๋ยจากใบไม้แห้งสามารถทำได้โดยการตากแห้งและบดใบไม้เพื่อทำเป็นวัสดุปุ๋ยอินทรีย์ ต่อไปนี้คือขั้นตอนที่คุณสามารถทำได้:

  • ตากแห้งใบไม้: วางใบไม้แห้งที่มีความชุ่มชื้นต่ำในที่ร่มรำไรและลมพัด ให้ใบไม้แห้งเต็มที่ก่อนดำเนินการต่อไปเพื่อลดความชื้นออกจากใบไม้
  • บดใบไม้: ใช้เครื่องบดหรือมีดบดใบไม้ให้ละเอียดเป็นชิ้นเล็กๆ ให้สามารถใช้เป็นปุ๋ยได้ง่ายขึ้น
  • ผสมกับวัสดุอื่น (ตัวผสมเสริม): ใบไม้แห้งอาจมีปริมาณธาตุอาหารที่ไม่เพียงพอสำหรับพืช ดังนั้นคุณอาจต้องผสมใบไม้แห้งกับวัสดุอื่น เช่น ปุ๋ยคอก เศษอาหารหรือเศษผักจากครัว เป็นต้น เพื่อเพิ่มปริมาณธาตุอาหารให้ครอบคลุมมากขึ้น
  • ใช้เป็นปุ๋ย: นำวัสดุปุ๋ยที่ผสมกันได้ไปใส่รอบโคนต้นไม้ในปริมาณที่เหมาะสม คุณสามารถกระจายวัสดุปุ๋ยลงไปรอบโคนต้น หรือฝังลึกเล็กน้อยแล้วกลบด้วยดินก็ได้
  • รดน้ำ: หลังจากใส่ปุ๋ยลงไปแล้ว รดน้ำให้ทั่วทั้งพื้นที่เพื่อให้ปุ๋ยละลายและซึมลงสู่ระบบรากของต้นไม้ได้
  • การใช้ปุ๋ย: ปฏิบัติตามความต้องการและชนิดของต้นไม้ที่คุณปลูก ควรใช้ปุ๋ยที่ผสมได้อย่างสมดุลย์และไม่ให้เกินปริมาณ เพราะอาจทำให้พืชเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตไม่เต็มที่หรือเกิดพิษได้

โดยทั่วไปแล้วใบไม้แห้งที่ใช้เป็นปุ๋ยสามารถใช้กับพืชทั่วไปได้ แต่ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและคำนึงถึงความต้องการของพืชเอง ซึ่งปุ๋ยจากใบไม้แห้งหากใช้มากก็อาจก่อให้เกิดเชื้อราได้ ฟาร์มอยู่ดีมีสุข จึงผลิตปุ๋ยจากใบไม้แห้งจำหน่ายแบบ ผสมไตรโคเดอร์มาอีกรูปแบบหนึ่งด้วย เพื่อป้องกันเชื้อราที่เป็นศัตรูพืช

จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง คืออะไร

จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงคือสิ่งมีชีวิตที่สามารถดักจับ และใช้พลังงานจากแสงแดดเพื่อแปลงแสงเป็นพลังงานเคมี ซึ่งช่วยในกระบวนการสังเคราะห์อาหารของพืช กระบวนการนี้ทำให้พืชสามารถเติบโตและอยู่รอดได้ เป็นขั้นตอนที่สำคัญในเคมีชีวภาพและอายุวิทยา เนื่องจากนอกจากสังเคราะห์อาหารแล้วยังเป็นกระบวนการที่สร้างออกซิเจนในสภาพอากาศให้กับโลกด้วย

สิ่งมีชีวิตที่สามารถดักจับและใช้พลังงานจากแสงแดดเพื่อแปลงแสงเป็นพลังงานเคมีซึ่งช่วยในกระบวนการสังเคราะห์อาหารของพืช

กระบวนการสังเคราะห์แสงมีขั้นตอนหลัก ๆ คือ:

  • ดักจับแสง: ใช้โมเลกุลคลอโรฟิลล์ในโคโคอยด์และคลอโรฟิลล์ในโคโคอราส์ในเซลล์พืชเพื่อดักจับแสงแสงที่มาจากแสงแดด.
  • สังเคราะห์: ด้วยพลังงานที่ได้จากแสง คลอโรฟิลล์แปลงตัวเองให้เป็นอาหารโดยใช้การต่อสู้เมตตาเบอร์กัลล์ของน้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โมเลกุลของน้ำรวมกับคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่กระบวนการสังเคราะห์แสงในส่วนของสตรีโคเม็กาส์
  • ผลิตอาหารและออกซิเจน: ผลิตกรณีอาหารเป็นกลุ่มแป้งและน้ำตาล ในขณะที่ออกซิเจนถูกสร้างขึ้นเป็นผลของกระบวนการนี้

กระบวนการสังเคราะห์แสงมีความสำคัญทางทฤษฎีในภาควิชาชีววิทยา นอกจากนี้ยังมีผลกระทบในด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากออกซิเจนที่ถูกผลิตขึ้นจากกระบวนการสังเคราะห์แสงสามารถส่งเสริมชีวิตในโลกโดยเพิ่มความหลากหลายของชีวิตที่มีบนโลก นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ส่งเสริมการกระจายคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการเกิดการเร่งรัดของโลกร้อนในปัจจุบัน การสังเคราะห์แสงเป็นกระบวนการที่สำคัญและเป็นประโยชน์ในโลกของเรา

จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง ช่วยให้ใบไม้ย่อยสลายเร็วหรือไม่?

จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถทำกระบวนการสังเคราะห์แสงได้ ด้วยการดูดซับแสงและใช้พลังงานจากแสงเพื่อสร้างอาหารในกระบวนการสังเคราะห์แสง ในกระบวนการนี้ จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงสร้างอาหารอินทรีย์เช่นกลูโคส (glucose) จากการรวมกันของคาร์บอนไดออกไซด์ (carbon dioxide) และน้ำ (water) โดยใช้แสงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานในกระบวนการนี้ ผลผลิตจากกระบวนการสังเคราะห์แสงเช่นนั้นคืออาหารและสารอินทรีย์ที่จะนำไปใช้ในกระบวนการเจริญเติบโตและพัฒนาของพืช ซึ่งส่งผลให้ใบไม้สลายเร็วขึ้นเมื่อถูกจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงและจุลินทรีย์ต่างๆ เช่น แบคทีเรีย และราสาเหตุโรคพืชช่วยย่อยสลายใบไม้เป็นส่วนประกอบของดิน ซึ่งเร่งกระบวนการย่อยสลายและกลับเป็นอาหารสำหรับจุลินทรีย์ในดินเพิ่มขึ้น ต่อไปนี้จะมีการสลายใบไม้เป็นอินทรีย์วัตถุในดินที่ดีขึ้นและเป็นประโยชน์ในกระบวนการเจริญเติบโตของพืชอื่นๆ ดังนั้นจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงมีบทบาทสำคัญในกระบวนการย่อยสลายใบไม้ และฟื้นฟูดินให้มีคุณภาพดีขึ้นในระยะยาว

ไตรโคเดอร์มา คืออะไร

ไตรโคเดอร์มา (Trichoderma) เป็นเชื้อราที่อยู่ในกลุ่มของเชื้อราที่มีประโยชน์ต่อพืชและสิ่งแวดล้อม มีลักษณะเป็นเส้นใยและพัฒนาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง สามารถพบได้ในดินและสิ่งแวดล้อมที่มีเศษซากพืชต่าง ๆ อยู่

มีความสำคัญในการช่วยในกระบวนการเสริมสร้างความเสียงแข็งแรงในพืช ด้วยประสิทธิภาพในการควบคุมและป้องกันการระบาดของเชื้อราที่เป็นอันตรายต่อพืช

ไตรโคเดอร์มามีความสำคัญในการช่วยในกระบวนการเสริมสร้างความแข็งแรงในพืช ด้วยประสิทธิภาพในการควบคุมและป้องกันการระบาดของเชื้อราที่เป็นอันตรายต่อพืช ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญในการเกษตรกับการปลูกพืชขนาดใหญ่ การใช้ไตรโคเดอร์มาในเกษตรกรรมมีชื่อเสียงเป็นอย่างดี เพราะไม่ต้องพ่นสารเคมีที่อาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพมนุษย์ เชื้อไตรโคเดอร์มาทำหน้าที่กำจัดและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราที่เป็นอันตราย นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในพืชเพื่อทำให้พืชแข็งแกร่งและสามารถต้านทานโรคได้ดีขึ้นด้วย

นอกจากนี้ยังมีการนำไตรโคเดอร์มามาใช้ในอุตสาหกรรมเกษตรที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงคุณภาพดิน การกระตุ้นการเจริญเติบโตของรากพืช และการเพิ่มประสิทธิภาพในการเพาะปลูกพืชเพื่อเพิ่มผลผลิตให้กับเกษตรกร โดยควบคู่กับเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การใช้ไตรโคเดอร์มาเป็นตัวช่วยในการจัดการโรคพืชทำให้เกษตรกรสามารถลดการใช้สารเคมีและส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืนและมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น

ปุ๋ยมูลวัว ช่วยเร่งความสูงพืช

สำหรับผู้ที่ต้องการใช้ปุ๋ยที่ทำมาจากธรรมชาติและต้องการปริมาณไนโตรเจนปริมาณมากเพื่อเพิ่มความสูงของต้นไม้อย่างรวดเร็ว ปุ๋ยที่แนะนำก็คือ ปุ๋ยมูลวัว นั่นเอง

ในปัจจุบันปุ๋ยที่หลากหลายแบบให้ได้เลือกใช้กัน ทั้งปุ๋ยสังเคราะห์ ปุ๋ยจากธรรมชาติ หรือปุ๋ยผสมระหว่างสังเคราะห์และธรรมชาติ ในแต่ละแบบก็จะมีความโดดเด่นและการนำไปใช้ที่แตกต่างกัน แต่สำหรับผู้ที่ต้องการใช้ปุ๋ยที่ทำมาจากธรรมชาติและต้องการปริมาณไนโตรเจนปริมาณมากเพื่อเพิ่มความสูงของต้นไม้อย่างรวดเร็ว ปุ๋ยที่แนะนำก็คือ ปุ๋ยมูลวัว นั่นเอง 

ปุ๋ยมูลวัวนม

เป็นปุ๋ยคอกชนิดหนึ่งที่สามารถนำมารองพื้นในการปลูกพืชไร่อายุยาว เช่น ยางพารา อ้อย เป็นต้น ช่วยทำให้ดินสามารถเก็บความชื้นได้นานมากกว่าเดิม ซึ่งข้อดีข้อนี้ทำให้พืชสามารถทนร้อนทนหนาวทนแล้งได้ดีและสามารถช่วยฟื้นตัวเร็วอีกด้วย อีกทั้งยังช่วยปรับค่า pH ให้เป็นกลางในสระน้ำ คลุกเมล็ดพันธุ์พืชในมูลวัวก่อนปลูกเป็นการรักษาไม่ให้มอดแมลงเจาะกิน ปรับปรุงสภาพดินที่เสื่อมโทรม ทำให้ดินมีระบายน้ำได้ดีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ช่วยเพิ่มความคงทนให้แก่เม็ดดินเป็นการลดการชะล้าง

N P K ในปุ๋ยมูลวัวนม

ปุ๋ยมูลวัวนมที่ดีนั้นจะต้องมีปริมาณธาตุไนโตรเจน (N) ปริมาณ 1.95% ปริมาณธาตุฟอสฟอรัส (P) ปริมาณ 1.76% ปริมาณธาตุโพแทสเซียม (K) ปริมาณ 1.43% ปริมาณธาตุแคลเซียม (Ca) ปริมาณ 1.82% ปริมาณธาตุแมกนีเซียม (Mg) ปริมาณ 0.56% และมีปริมาณธาตุกำมะถัน (S) ปริมาณ 0.07%

“ปุ๋ยมูลวัว” ใช้แบบไหนใช้อย่างไรจึงเหมาะสม 

สำหรับปุ๋ยมูลวัวนี้เหมาะกับพืชที่กำลังจะขยายราก เนื่องจากปุ๋ยมูลวัวประเภทนี้จะช่วยบำรุงรากได้ดียิ่งขึ้น แต่ควรจะใช้เป็นมูลวัวที่ค่อนข้างเก่าหน่อย เนื่องจากมูลวัวที่สด จะทำให้เกิดความร้อนและมีการดึงไนโตรเจนจากดินไปใช้ ทำให้พืชอาจมีอาการใบเหลืองและตายได้ ในการใส่ปุ๋ยมูลวัวจะต้องใช้ไม่เกินเดือนละ 1 ครั้ง เพราะปุ๋ยมูลวัวมีไนโตรเจนเยอะ อาจจะอันตรายแก่พืชหรือต้นไม้ที่ได้ใส่ปุ๋ยเข้าไป

ขุยมะพร้าว ดีอย่างไร

ขุยมะพร้าวเป็นวัสดุเพาะชำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการเพาะชำพืชต่างๆ เนื่องจากมีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการเพาะชำพืชและเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

ขุยมะพร้าวเป็นวัสดุที่นิยมใช้ในการปลูกพืชมากมายเนื่องจากมีคุณสมบัติที่ดีต่อการเจริญเติบโตของพืช ดังนี้:

  • ระบายน้ำและรักษาความชื้น: ขุยมะพร้าวมีโครงสร้างเป็นก้อนเส้นใยที่ช่วยให้ดินมีระบบระบายน้ำดี และสามารถรักษาความชื้นได้ดี ช่วยลดความแห้งของดินและสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับรากพืชเจริญเติบโต
  • ปรับสภาพดิน: ขุยมะพร้าวมีความเป็นกรดอ่อนถึงกลาง ช่วยปรับสภาพดินที่มีค่า pH สูงหรือต่ำได้ ให้ดินมีค่า pH ที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของพืช
  • บำรุงดิน: ขุยมะพร้าวเป็นแหล่งของธาตุอาหารและสารอินทรีย์ ซึ่งช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินและส่งเสริมการเจริญเติบโตของรากพืช นอกจากนี้ เมื่อขุยมะพร้าวเปรียบเสมือนหน้าผิวให้กับดิน จะช่วยรักษาความเย็นของดินในช่วงแดดร้อน และป้องกันการระเหยน้ำเพียงพอในช่วงอากาศแห้งแล้ง
  • การใช้ซ้ำได้: ขุยมะพร้าวสามารถนำมาใช้ซ้ำได้หลายรอบ โดยเพียงทำการปรับปรุงใหม่หรือผสมกับวัสดุอื่นๆ เช่น ปุ๋ยหมัก เมื่อใช้งานครบกำหนด
  • มิตรต่อสิ่งแวดล้อม: ขุยมะพร้าวเป็นวัสดุธรรมชาติและมีการย่อยสลายได้ดี ทำให้มิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่มีสารพิษที่ส่งผลต่อระบบนิเวศและสิ่งมีชีวิต

ในการใช้ขุยมะพร้าวในการปลูกพืช ควรเลือกใช้ขุยมะพร้าวที่ไม่มีสิ่งปนเปื้อนหรือสารพิษ เช่น ใช้ขุยมะพร้าวที่ไม่มีการใช้สารเคมีในกระบวนการผลิต และควรผสมกับดินหรือวัสดุอื่นเพื่อปรับสมดุลในคุณสมบัติของดินและเตรียมพื้นที่ให้พร้อมสำหรับการปลูกพืชในระยะยาว

ระบายน้ำและรักษาความชื้น: ขุยมะพร้าวมีโครงสร้างเส้นใยที่ช่วยให้ดินมีการระบายน้ำดีและสามารถรักษาความชื้นได้ดี ช่วยลดความแห้งของดินและสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับรากพืชเจริญเติบโตในระยะแรก

ปรับสภาพดิน: ขุยมะพร้าวมีความเป็นกรดอ่อนถึงกลาง ช่วยปรับสภาพดินที่มีค่า pH สูงหรือต่ำได้ ให้ดินมีค่า pH ที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของพืชในช่วงแรก

ในการใช้ขุยมะพร้าวในการบำรุงพืช ควรเลือกใช้ขุยมะพร้าวที่ไม่มีสิ่งปนเปื้อนหรือสารพิษ เช่น ใช้ขุยมะพร้าวที่ไม่มีการใช้สารเคมีในกระบวนการผลิต และควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อไม่เกิดการเครียดให้กับรากพืชในระหว่างการเจริญเติบโต การผสมกับดินหรือวัสดุอื่นๆ เพื่อปรับใช้ในการเพาะชำก็เป็นทางเลือกที่ดี เพื่อให้ได้ผลการเพาะชำที่เต็มประสิทธิภาพ

การนำวัสดุปลูกนี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

เนื่องจากส่วนประกอบกลักของวัสดุปลูกนี้เป็นใบไม้ป่นละเอียดถึงแม้จะผ่านการหมักด้วยจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงแล้วก็ตามยังคงต้องใช้เวลาในการย่อยสลายอีกระยะเวลาหนึ่งโดยปกติจะย่อยสลายจนกลายเป็นปุ๋ยในเวลา 2 เดือน สูตรนี้จึงได้เติมมูลวัวนมเพื่อเพิ่มจำนวนจุลินทรีย์ให้ช่วยในการย่อยสลายให้มีเวลาสั้นลง และผสมขุยมะพร้าวเพื่อให้มีความชื้นตลอดเวลาซึ่งจะช่วยให้การย่อยสลายเร็วขึ้นแน่นอน สำหรับไตรโคเดอร์มาที่ผสมมาด้วยยังชอบความชื้นอีกด้วยและมันสามารถให้ประโยชน์ได้ทันทีที่ใส่และรดน้ำด้วยการกำจัดเชื้อราและห่อหุ้มรากของพืขเพื่อไม่ให้เชื้อราที่เป็นโทษได้มีโอกาสมาทำลายรากพืช การหาอาหารของพืชจึงเกิดขึ้นทันทีที่ไตรโคเดอร์มาทำงาน

วิธีใช้วัสดุปลูก

  1. เติมวัสดุปลูกที่แปลง/กระถาง หรือถุงปลูกให้เต็มจนถึงปากกระถาง แต่หากมีขุยมะพร้าวด้านบนน้อยเกินไปควรเติมขุยมะพร้าวปิดทับวัสดุปลูกอีกชั้นหนึ่งหนาอย่างน้อย 3 เซ็นติเมตรเพื่อควบคุมความชื้น
  2. รดน้ำทันทีและรดบ่อยๆ เพื่อให้มีความชื้นตลอดเวลา วัสดุปลูกนี้หากเรารดน้ำมากเกินไปก็ไม่มีปัญหาเพราะใบไม้มีช่องว่างให้น้ำซึมผ่านได้สบาย
  3. หากระยะเวลาการย่อยสลายยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ธาตุอาหารจากใบไม้ยังไม่สามารถให้ประโยชน์แก่พืชได้ เราสามารถเติมปุญคอกลงไปเพื่อให้พืชได้ใช้ประโยชน์ก่อนก็ได้ 

เราหวังว่าวัสดุปลูกของเราจะให้ประโยชน์แก่ท่านในการปลูกต้นไม้ และทำให้บ้านเมืองเราเขียวชะอุ่ม รวมถึงไม้มงคล และไม้ราคาแพงต่างๆ ของท่านเจริญงอกงาม ตามที่ต้องการ

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Shopping Cart
Scroll to Top